ใครเคยได้ดูหนังเรื่อง broke black mountain บ้าง...
เป็นหนังเกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างชายกับชาย...ที่ตอนแรกเป็นเพื่อนกันดีๆ แต่ด้วยความหนาวบนหุบเขาโบร์กแบ็ก ทำให้ทั้งสองต้องเข้ามานอนในเต็นท์เดียวกัน นอนไปนอนมา...ทนความหนาวไม่ไหวเลยกอดกัน กอดกันไปมา...ก็...จากหนังดรามาดีๆ กลายเป็นหนังเกย์เฉยเลย
ตอนแรกทั้งสองมองหน้ากันไม่ติดเพราะต่างคนต่างคิดว่าตนเองไม่ใช่เกย์ แต่เพราความห่างเหินผู้หญิง และความเหงาบวกกับอะไรหลายๆอย่างจึงก่อนให้เกิด...วูบหนึ่งในคืนเหงา ขึ้นมา
แต่เมื่อต้องทำงานเป็นคนเลี้ยงแกะด้วยกันไปนานๆ ความรักก็เริ่มพัฒนาขึ้น กลายเป็นความรักที่โรแมนติก และแสนบริสุทธิ์
ทั้งสองเกิดมาในยุคที่สังคมยังไม่ยอมรับเรื่องรักร่วมเพศ ทำให้ทั้งสองต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ พระเอกคนหนึ่งกลับมาแต่งงานมีลูกมีเมีย พระเอกอีกคนไปแต่งงานที่เม็กซิโก และแจ๊ค ทวิส์ขับรถผ่านพรมแดนเม็กซิโกเป็นระยะทาง 60 ไมล์ มาหาเอนนิสปีละ 2-3 ครั้ง ทำอย่างนี้เป็นเวลานาน จนะกระทั่งเมียของเอนนิสรู้เข้า จึงขอหย่า และฟ้องศาลให้เอนนิสจ่ายค่าเลี้ยงดูลูก
ชีวิตของเอนนิสตกต่ำขึ้นเรื่อยๆหลังคบแบบลับๆซ่อนกับแจ็คมานานถึงสิบกว่าปี จนกระทั่งเขาตัดสินใจย้ายไปทำงานในที่ห่างไกล..ไกลจากแจ็ค...และหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
การตัดสินใจย้ายที่ทำงานของเขาทำให้วันหนึ่งที่ริมทะเลสาบในไวโอมิง แจ็คกับเอนนิสทะเลาะกันรุนแรง มีประโยคหนึ่งที่แจ็คหลุดปากพูดออกมาทั้งน้ำตาคลอว่า
"ฉันอยากรู้วิธีที่จะทำให้เลิกกับนายได้"
และเอนนิสก็ตอบไปด้วยความโกรธเกรี้ยว...
"ก็เลิกซะสิ ถ้านายเลิกกับฉันไปซะตั้งแต่แรก ชีวิตของฉันก็ไม่ต้องตกต่ำแบบนี้"
และนั่นเป็นวันสุดท้าย...ที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ร่วทกัน เพราะหลังจากที่แจ๊คกลับไปเม็กซิโก เขาก็ถูกแก๊งค์วัยรุ่นปล้นทรัพย์ รุมทำร้ายจนนอนจมกองเลือดตายอยู่ริมถนน
การตายของแจ๊คทำให้เอนนิสต้องดั้นด้นเดินทางเป็นไมล์ๆเพื่อกลับไปที่บ้านเกิดของคนผู้ซึ่งเป็นที่รัก และเอาเถ้ากระดูกของแจ็คกลับมา และให้สัญญากับตัวเองว่า...สักวัน...เมื่อวันตายของเขามาถึง เขาทั้งสองคน...จะกลับไปอยู่ที่โบรกแบ็ค...ด้วยกันอีกครั้ง
ตอนแรกผู้เขียนรู้สึกจะอ้วก...อยากเปลี่ยนช่อง แต่ด้วยความดึงดูดของฉากอันสวยงามของขุนเขาใหญ่สีเขียวที่มียอดปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน บทสนทนาที่เต็มไปด้วยปรัชญาหนักๆทำให้ทนดูต่อจนจบ...แล้วก็ได้พบว่าไม่ผิดหวังเลยจริงๆ
เป็นหนังเกย์ที่ทำให้หลั่งน้ำตาถึงขั้นรุนแรง โบรคแบ็คเป็นหนังที่ทำให้ผู้หญิงแท้ๆ หลั่งน้ำตาให้กับความรักของผู้ชายกับผู้ชายได้ และเป็นหนังที่ทำให้ผู้ชายแท้ๆ ถึงกับนั่งซึมไปเลยหลายชั่วโมง เศร้าขนาดไหนก็คิดเอาเองละกัน
เกริ่นไปนานแล้ว...มาเข้าเรื่องวรรณกรรมรักร่วมเพศของไทยกันบ้างดีกว่า
การปรากฏของวรรณกรรมรักร่วมเพศในตะวันตกมีให้เห็นมาก หลากหลาย และค่อนข้างเป็นที่ยอมรับในสังคม มากกว่าในประเทศไทย
แม้ระยะเวลาของการเกิดวรรณกรรมแนวนวนิยาย จะนับรวมเวลาได้ถึง 83 ปีแล้ว แต่พัฒนาการและความเจริญยังเป็นไปอย่างอ้อยอิ่ง และติดอยู่ในกรอบซ้ำๆเดิมๆคือ โรแมนติก รักเพ้อฝัน ศักดินา และเชื้อเจ้า จนกระทั่งหลัง พ.ศ 2516 เป็นต้นมา กระแสวรรณกรรมสะท้อนภาพสังคมก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นอันดีของฟิคชั่นแนวพัฒนาสมองของประเทศไทย มิใช่วรรณกรรมแนวลูกกวาดเคลือบน้ำตาลที่ทำให้ฟันผุอย่างที่มีให้เห็นบ่อยตามละครภาคค่ำ
การถือกำเนิดวรรณกรรมแนวสังคมที่มุ่งเสนอแง่มุมของพวกรักร่วมเพศ แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยว่ามีการเปิดกว้าง และยอมรับความเป็นปัจเจกมากขึ้น แสดงถึงพัฒนาการทางความคิดชนิดที่ก้าวกระโดดของวรรณกรรมไทย และนักเขียนไทย
แนวคิดหรือแก่นเรื่องที่พบในวรรณกรรมรักร่วมเพศของไทยมี 3 ประการที่พบได้บ่อยก็คือ
1.มีจุดประสงค์ให้ผู้อ่านมองเห็นชีวิตอันแสนขมขื่นของสาวประเภทสอง ให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา มิใช่ทำเพิกเฉยหรือแสดงความรังเกียจราวกับว่าอยู่กันคนละโลกกัน
เห็นได้ชัดจากตัวอย่างในงานของกรีติ เรื่องทางสายที่สาม
2.นำเสนอปัญหาของคนที่ไม่มีความกล้าในการยอมรับความผิดปกติของตัวเอง แล้วแต่งงานมีครอบครัวเพื่อบังหน้า ก่อให้เกิดปัญหาสังคมและครอบครัวสืบไป
พบได้ในงานของกฤษณา อโศกสิน เรื่อง ประตูที่ปิดตาย
3.จากชีวิตที่เต็มไปด้วยความเดือดร้อนและทุกข์ยากแสนสาหัสของเลศเบี้ยน ในเรื่อง เงาพระจันทร์ ของ โสภาค สุวรรณ ที่มุ่งนำเสนอให้สังคมรู้สึกเห็นใจคนรักร่วมเพศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม...กลวิธีการนำเสนอวรรณกรรมแนวรักร่วมเพศของนักเขียนไทยยังคงยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆคือ การใช้ทฤษฏีทางจิตวิทยาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่นการนำตัวละครที่เป็นจิตแพทย์เข้ามาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ หรือบรรยายเรื่องทั้งหมด ในรูปแบบของบทสนทนาและจุดหมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาวรรณกรรมรูปแบบนี้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งผู้เขียนส่วนใหญ่มิได้มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้จริง...หรือพูดง่ายๆก็คือ มิได้เป็นคนรักร่วมเพศจริงๆ การถ่ายทอดด้านอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครจึงออกมาในลักษณะแห้งเหี่ยว และไม่สมจริง ไม่มีความแปลกใหม่ และไม่กระตุ้นให้เกิดการตอบรับของสังคมเท่าที่ควร
เฮ้อออ...พิมพ์เหนื่อย ที่จริงมีเนื้อหาที่อยากเล่ามากกว่านี้เนื่องจากทำรายงานอยู่ ไว้วันหลังจะมาถ่ายทอดความรู้ให้อ่านอีกนะคะ...แต่...จะมีคนอ่านป่าวว้า...555
@lucky@ เองจ้า